แชร์บทความนี้

วิธีเลือกซื้อแอร์บ้าน

แอร์หรือเครื่องปรับอากาศนับว่าเป็นอุปกรณ์ประจำบ้านเช่นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะอากาศในบ้านเรานั้นค่อนข้างร้อนถึงร้อนมากหากบ้านไหนที่ไม่มีแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นก็คงจะร้อนแทบจะนั่งจะนอนอยู่ในบ้านไม่ได้เลย การเลือกซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นก็จะทำให้เราซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศได้อย่างคุ้มค่าที่สุด วันนี้ลองมาดูกันว่าจะเลือกซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นเราจะต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง

 

1 ขนาดของแอร์หรือเครื่องปรับอากาศ ปัจจัยในการเลือกซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นอันดับแรกเลยเราต้องดูเรื่องของขนาดของห้องที่เราจะติดตั้งแอร์ โดยทั่วไปแล้วขนาดห้อง 1 ตารางเมตรจะใช้แอร์  ขนาด 800-1000 BTU สมมุติว่าห้องของคุณมีขนาด 4 คูณ 4 เมตรตารางเมตรของห้องคุณนั้นก็คือ 16 ตารางเมตรเราก็เอา 16 เข้าไปคูณกับ 800 ถึง 1,000 ก็จะได้ BTU ของแอร์ที่เหมาะสมสำหรับห้องเรา

ตัวอย่างคำนวน BTU

ขนาดห้อง กว้างด้านละ 4 เมตรห้องไม่ถูกแดดส่องโดยตรง

  • 4 x 4 = 16 ตารางเมตร
  • 16 ตารางเมตร x 800 =  12800 BTU
    ซึ่งจากตัวอย่างนี้ สามารถใช้แอร์ขนาดอย่างต่ำที่ 12000 BTU ไปจนถึง 18000 BTU

โดยห้องที่ไม่ได้โดนแดดตัวคุณก็จะสามารถใช้ที่ 800 ได้แต่ถ้าห้องไหนที่มีแดดส่องได้ก็ควรที่จะใช้ตัวคูณที่ 1,000 ก็จะเป็นขนาดของแอร์หรือเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับห้องนั้นๆ

 

2 ประเภทของแอร์หรือเครื่องปรับอากาศ ประเภทของแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นที่ใช้ตามบ้านมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ประเภทที่ 1 แอร์แขวน  2 แอร์ติดผนัง ซึ่งการใช้งานของแอร์ 2 ประเภทนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องและความสะดวกในการติดตั้ง รถทั่วไปแอร์แขวนนั้นจะมีขนาด btu ที่เยอะกว่าแอร์ติดผนัง โดยที่แอร์แขวนนั้นจะมี btu ตั้งแต่ 1 8000 btu ขึ้นไปแต่สำหรับแอร์ติดผนังนั้นจะมี btu เริ่มต้นที่ 9000 btu ไปจนถึง 24000 BTU  ซึ่งราคาของแอร์แขวนนั้นก็จะมีราคาแพงกว่าแอร์ติดผนังและค่าบริการในการทำความสะอาดหรือล้างแอร์นั้นก็จะสูงกว่าการล้างแอร์ติดผนังเล็กน้อยเพราะการล้างแอร์แขวนนั้นมีขั้นตอนที่มากกว่าติดผนังฉะนั้นเวลาเลือกซื้อแอร์หรือเครื่องปรับอากาศก็ต้องคำนึงถึงการดูแลรักษาด้วย

 

3 ยี่ห้อของแอร์หรือเครื่องปรับอากาศที่เราจะเลือกซื้อ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะยี่ห้อของแอร์หรือสภาพอากาศนั้นจะเป็นตัวกำหนดราคาของการบำรุงดูแลรักษา แอร์บางยี่ห้อไม่สามารถหาอะไหล่ได้ตามท้องตลาดทั่วไปได้จำเป็นที่จะต้องสั่งจากโรงงานผู้ผลิตเท่านั้น อันนี้ท่านก็ต้องสำรวจเอาเองว่าแอร์ยี่ห้อที่เราจะซื้อนั้นสามารถหาอะไหล่ได้อย่างง่ายดายหรือเปล่า แต่ถ้าการหาอะไรของนายยี่ห้อที่เราจะซื้อนั้นทำได้ยาก ตรงนี้ก็ต้องพิจารณาดูเอาเองว่าคุ้มไหมที่เราจะเลือกใช้แอร์ยี่ห้อนี้ เพราะอายุการใช้งานของแอร์นั้นเมื่อเริ่มเข้าปีที่ 3 เป็นต้นไปก็เริ่มมีปัญหาแล้ว

 

4  การติดตั้งแอร์ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะการติดตั้งแอร์นั้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้งานของแอร์หรือทุกประการนั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นหรือยาวนาน หากเราติดตั้งแอร์ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมแล้วแน่นอนว่าก็จะทำให้อายุการใช้งานของแอร์สั้นลงอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างในการติดตั้งแอร์ที่ไม่ถูกต้อง

  • ติดตั้งแอร์ตัวในสูงเกินไป ทำให้ไม่มีช่องว่างด้านบนตัวแอร์ ทำให้แอร์ดูดลมเข้าไม่สะดวกและทำให้การถอดล้างเป็นไปได้ยากลำบาก
  • ติดตั้งแอร์ที่ไม่ตรงตำแหน่งของผู้อยู่อาศัย ตัวนี้ก็จะทำให้เราใช้งานแอร์ได้ไม่คุ้มค่า ควรจะติดตั้งแอร์ให้ตรงกับการใช้งานของเราอย่างเช่นตำแหน่งที่แอร์น้ำพุ่งลงมาที่เตียง ตรงนี้ก็จะช่วยให้เราไม่ต้องเปิดแอร์ที่มีความเย็นมาก ทำให้ประหยัดค่าไฟได้
  • สำหรับคอยร้อนนั้นไม่ควรติดตั้งคอยล์ร้อนให้โดนฝนสาดหรือโดนแดดส่องโดยตรง เพราะใส่สวนของคอยล์ร้อน สามารถเกิดสนิมได้ หากถูกฝนสาดโดยตรงบ่อยๆ
  • ตำแหน่งของคอยร้อน ไม่ควรติดตั้งสูงเกินไป เพราะจะทำให้การซ่อมบำรุง ทำได้ลำบาก ถึงเราจะจ้างช่างมา แต่ช่างก็ต้องทำงานลำบาก ทำให้อุปกรณ์ของเราถูกซ่อมบำรุงได้อย่างไม่เต็มที่

อุปกรณ์แอร์ ที่เสียบ่อย

  1. แค้ปรัน ตัวนี้ มีทั้งของพัดลม และคอมเพรสเซอร์ โดยส่วนใหญ่แล้ว อุปกรณ์ชิ้นนี้ จะเสียก่อนอุปกรณ์ชิ้นอื่น
    แค้ปรันคอมเพรสเซอร์
    แค้ปรันคอมเพรสเซอร์

    แค้ปรันพัดลม

    2.เซนเซอร์ วัดอุณหภูมิ หากอุปกรณ์ชิ้นนี้เสีย ทำให้แอร์ ไม่ตัดการทำงาน หรือ ทำให้แอร์ไม่สามารถทำงานได้ ในบางยี่ห้อ ตัวนี้ ราคาไม่กี่ร้อยบาท

3.สำหรับแอร์แขวน ตัวเทอร์โมสตัด เป็นชิ้นส่วนที่เสียบ่อยมาก อาการเสียคือ แอร์มีแต่พัดลม ไม่มีความเย็น เพราะตัวเทอร์โมสตัด ไม่สั่งให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน การเลือกซื้อควรซื้อให้ตรงรุ่น เพราะหากใช้รุ่นไม่ตรง จะทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าการใช้อุปกรณ์ตรงรุ่น

คำแนะนำ เพิ่มเติม ในการติดตั้งแอร์

  • ควรติดตั้งคอยร้อนที่พื้น จะดีกว่า การติดกับผนัง เพราะคอยร้อนนั้น มีแรงสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผนังบ้านของเรา มีเสียงรบกวนได้
  • ควรติดตั้ง เบรคเกอร์ ตัดไฟสำหรับแอร์ด้วย เพื่อความปลอดภัย เพราะช่างบางคน ไม่ติดให้ ทำให้เวลาซ่อมบำรุง ต้องไปสับไฟที่เบรคเกอร์ใหญ่ ทำให้ไฟในบ้านดับโดยไม่จำเป็น และ ตัวเบรคเกอร์ จะยืดอายุการใช้งานของแอร์ได้ เพราะ หากไม่ติดตั้งเบรคเกอร์แล้ว จะทำให้ไฟบ้านนั้นเลี้ยงวงจรของแอร์อยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความเสี่ยงจากไฟกระชาก หรือ เลวร้ายที่สุด อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
    เสริม สำหรับเบรคเกอร์   เราควรยำให้ช่างนั้น ทำการเดินสายไฟเป็นคู่ มายังตัวเบรคเกอร์ เพราะช่างบางคนลักไก่ เดินไฟเส้นเดียวเอาเฉพาะเส้น Line  เข้าเบรคเกอร์ และเส้น Neutral เข้าตรงที่แอร์ ซึ่งในอนาคต หากมีการซ่อมแซมมิเตอร์ที่เสาไฟ และมีการสลับสายไฟ จะทำให้เกิดอันตรายสำหรับช่างแอร์คนอื่นได้

    การเดินสายไฟเข้าเบรคเกอร์ ที่ไม่ปลอดภัย
    ที่ถูกต้องควรเดินสายไฟมาแบบนี้

    *** เครดิตภาพจาก http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2009/10/R8453420/R8453420.html


แชร์บทความนี้

Leave a Reply